เท้าเบี้ยวผิดรูป!! สาวๆ ที่ชอบใส่ส้นสูงเคยเจออาการแบบนี้หรือไม่? มาดูเคล็ดลับการดูแลรักษาสุขภาพเท้ากัน...

เท้าเบี้ยวผิดรูป!! สาวๆ ที่ชอบใส่ส้นสูงเคยเจออาการแบบนี้หรือไม่? 
มาดูเคล็ดลับการดูแลรักษาสุขภาพเท้ากัน... 


      คงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ารองเท้าส้นสูง สุดสวย สุดจะอินเทรนซึ่งเป็นที่นิยมของบรรดาสาว ๆ ในยุคสมัยนี้ เพราะเมื่อได้ใส่แล้วทำให้คุณสาว ๆ นั้นดูขาเรียวขึ้น ดูเปรี๊ยวเก๋มีสไตล์ และเพิ่มความมั่นใจให้กับเราไม่น้อย 

 

     แต่หากว่าในความสวยจากส้นสูงคู่โปรดสุดของสาวๆ นั้นมันอาจจะแฝงไปด้วยความอันตรายที่ซ่อนอยู่!! 
          
     ยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาว ๆ ที่ต้องใส่ประจำในชีวิตประจำด้วยแล้ว สาวอ๊อฟฟิตที่ต้องใส่ทำงานทั้งวัน หรือแม้แต่กระทั่งใส่เดินช๊อปปิ้งเพลิน ๆ    ตามห้างสรรสินค้า
   

   เชื่อได้เลยว่าต้องมีใครที่ต้องมานั่งบ่นปวดเท้า ปวดนิ้วเท้า ปวดส้นเท้ากันทีหลังกันบ้างหล่ะ


          สาว ๆ เองรู้หรือไม่ว่าอาการแบบนี้ในระยะยาวอาจจะก่อให้เกิดปัญหาหรือโรคเกี่ยวกับสุขภาพเท้าขึ้นมาได้ โดยเฉพาะอาการที่หลายๆ คนเป็นกันอยู่อย่างและเกิดภาวะเสี่ยงที่จะเป็นเช่น อาการนิ้วหัวแม่เท้าผิดรูปหรือในทางการแพทย์เรียกว่า โรค Hallux varus หรือ Bunions 

           ซึ่งอาการนี้มันก็คือ การที่นิ้วหัวแม่เท้าเบี้ยวเกผิดรูป เกิดจากกระดูกตรงตำแหน่ง bunions หรือจุดต่อระหว่างกระดูกเท้าและนิ้วหัวแม่เท้าเคลื่อนจากตำแหน่งปกติ  

ตัวอย่างอาการนิ้วหัวแม่เท้าเบี้ยวผิดรูปหรือ Hallux varus
ภาพแรงกดที่เท้าตรงตำแหน่ง bunions จากการบีบรัดของรองเท้าที่ปลายแคบและใส่เป็นเวลานาน

       เห็นอย่างงี้แล้วน่ากลัวมั้ยหล่ะ!!  แล้วอาการ Hallux varus เกิดขึ้นจากสาเหตุใด??



      ในความเป็นจริงแล้วอาการนิ้วเท้าเบี้ยวผิดรูปในบางคนก็อาจจะเกิดจากกรมพันธ์ซึ่งมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด
      
      แต่อีกสาเหตุใหญ่โดยทั่วไปก็คือ มาจากรองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าสุดอินเทรนของสาว ๆ นั่นแหล่ะ ซึ่งส่วนใหญ่ที่เป็นที่นิยมสวมใส่ในสมัยนี้ก็มักจะถูกออกแบบให้ส่วนปลายเท้าบีบเล็ก เน้นเพื่อให้สวมใส่แล้วดูเรียวเข้ารูป ซึ่งหากสวมใส่และทำเดินหรือยืนนาน ๆ ก็อาจมีอาการปวดและทำให้นิ้วหัวแม่เท้างอผิดรูปได้ในที่สุด ซึ่งในบางรายมีอาการอักเสบปวดรุนแรงจนถึงขั้นไม่สามารถเดินหรือวิ่งได้ตามปกติได้เลยทีเดียว


     หากเกิดอาการนิ้วหัวแม่เท้าผิดรูปขึ้นมาแล้วจะรักษาได้อย่างไร?
      
    ในทางการรักษาโดยทั่วไปสำหรับผู้ที่มีอาการ Hallux varus หรือนิ้วหัวแม่เท้าผิดรูปของผู้ที่มีอาการที่รุ่นแรงนั้นมีอยู่ 2 วิธีคือ

     1. ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง และผลจากการผ่าตัดนั้น อาจจะไม่ช่วยให้โครงสร้างของนิ้วเท้ากลับเข้าสู่สภาพปกติได้เสมอไป


ตัวอย่างการผ่าตัดรักษาอาการ Hallux varus
 
               
        2. การใช้อุปกรณ์สำหรับเข้าเฝือกช่วยในการประคองนิ้ว หรือช่วยแยกนิ้วโดยเฉพาะ อย่างเช่น Toes separators ,Bunions regulator หรือ Bunions Splint เป็นต้น 
        ซึ่งเป็นวิธีที่มีความปลอดภัย และผู้ที่มีอาการสามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
   
       
               เราจะป้องกันไม่ให้เกิดอาการนิ้วเท้าเบี้ยวงอผิดรูปได้อย่างอย่างไรละ ?

       สำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการเพียงเล็กน้อย สามารถที่จะรักษาได้ง่าย ๆ โดย     

  •        ไม่ควรเลือกใส่รองเท้าที่มีบีบแน่นเท้าเกินไป การเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับเท้าคุณพอดี ไม่เรียวกระชับมากเกินไปจะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการเดินหรือยืนนาน ๆ ได้


  •       เลือกใส่ส้นสูงที่มีสายรัดข้อเท้า หรือพื้นรองเท้าที่หนาก็ช่วยได้เช่นกัน เนื่องจากสายผูกจะยึดข้อเท้าของคุณเข้ากับพื้นรองเท้าได้อย่างปลอดภัย ป้องกันพื้นลื่น ลดแรงเสียดทานได้


  •        การใส่อุปกรณ์ประคองนิ้วเท้า เช่น Bunion Splint หรือ Toe Separators ที่ทำจากวัสดุอ่อนโยนต่อเท้าและช่วยถนอมสุขภาพเท้าได้เป็นอย่างดี 

Toe Separators เป็นวัสดุ Medical Silicone Gel ให้สัมผัสที่อ่อนนุ่มถนอมนิ้วเท้า 

    



      Toe Separators ทำมาจากวัสดุอะไร ? 
แล้วจะสามารถลดอาการนิ้วเท้าเบี้ยวได้อย่างไร ? 

       Toe Separators เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาให้เหมาะและพอดีสำหรับคั่นช่องระหว่างนิ้วเท้า ทำให้คนที่นิ้วเท้าไม่สมดุล ช่องเท้าห่างไม่เท่ากัน และอาการนิ้วเท้าเบี้ยวเกกัน  

                           



         Toe Separators สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่เกิดอาการปวด เจ็บ อักเสบหรือไม่สามารถสวมรองเท้าปกติได้ อุปกรณ์นี้สามารถแก้ปัญหาได้ 

         Toe Separators ทำมาจากวัสดุ Medical Silicone Gel เป็นเจลที่มีความพิเศษมีความยืดหยุ่นสูง และซึ่งออกแบบมาให้มีความ

ยืดหยุ่นและกระชับนิ้วเท้าโดยเฉพาะ






คุณสมบัติพิเศษของ Toe Separators 
  • ซิลิโคนเจลทำด้วยสารที่เป็นวิตามินเจลและแร่ธาตุอื่น ๆ เมื่อคั่นไว้ที่ช่องนิ้วเท้าแล้ว สารบำรุงต่าง ๆ จะซึมเข้าไปบำรุงสุขภาพเท้า และลดอาการผิวเท้าแตกได้
  • ซิลิโคนเจลมีความยืดหยุ่นสูงและนิ่ม จึงลดแรงกระแทก ลดการเสียดทานจากการเดินได้เป็นอย่างดี


  • ด้วยสัมผัสที่อ่อนนุ่ม ไม่เกิดระคายเคืองต่อผิวเท้า


  • สามารถใส่พร้อมรองเท้าคู่โปรดของคุณและดำเนินกิจวัตรประจำได้โดยปกติ โดยที่ไม่เกิดอาการเบียดแน่นนิ้วเท้า  

  • เป็นการบริหารนิ้วและกายภาพบำบัดนิ้วเท้าไปในตัว ป้องกันอาการนิ้วเท้าเบี้ยวในระยะยาว

  • ใช้งานง่ายเพียงแค่สวมนิ้วหัวแม่เท้า ก่อนใส่ถุงน่องหรือสวมใส่รองเท้า



  • สามารถล้างซักและนำกลับมาใช้ได้ใหม่ โดยไม่มีผลให้คุณสมบัติของซิลิโคนเจลนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

  • ลดปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าหรือกลิ่นอับเพราะซิลิโคนเจลช่วยดูดความชื้นจากเหงื่อที่เท้าได้ดี 

  • สามารถใช้ร่วมกับครีมนวดเท้าซึ่งจะเป็นการนวดบำรุงนิ้วเท้าและอุ้งหัวแม่เท้าไปในตัว ก็จะให้ผลที่ดียิ่งขึ้น 

  • ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัย ไร้กังวล

 

การใช้งาน Toe Separators 


  • สวม Toe Separators ที่นิ้วหัวแม่เท้าเพื่อคั่นแยกนิ้วเท้า
 


  • ให้หนีบไว้ที่นิ้วเท้าที่มีปัญหาวันละ อย่างน้อย 10-20 นาที เพื่อเป็นการบริหารนิ้วเท้า และทำให้นิ้วเท้าเป็นรูปปกติ

  • หรือสามารถใส่ Toe Separators และสวมถุงน่องหรือถุงเท้า ก่อนใส่รองเท้า




Toe Separators 1 เซ็ทมีจำนวน 2 ชิ้น




ราคาปกติ 590 บาท 

ลดเหลือเพียงเซ็ทละ 390 บาทเท่านั้น!!

พร้อมจัดส่ง EMS ฟรีทั่วประเทศ









ภัยส้นสูง!! สัญญาณอันตรายที่สาวๆ ไม่ควรมองข้าม

ภัยส้นสูง!! สัญญาณอันตรายที่สาวๆ ไม่ควรมองข้าม

                
                  

                 สาวๆ ทั้งหลายโดยเฉพาะสาว ๆ อ๊อฟฟิต สาวพนักงานขายสินค้าในห้าง ซึ่งหรือแม้แต่สาวๆที่ชอบใส่ส้นสูงเป็นชีวิตจิตใจแล้วด้วยละก็ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว เดินหรือยืนนาน ๆ  ซึ่งเรียกว่าล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้งานเท้าแทบทุกส่วนของคุณผู้หญิงหนักๆ กันทั้งนั้น 
                
                จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลาย ๆ คนกลับบ้านมาถึงต้องมานั่งบ่นว่า ปวดเท้า ปวดนิ้ว ปวดอุ้งเท้า ปวดหลัง ต่าง ๆ นาๆ  รู้หรือไม่ว่า !!... อาการปวดตามเท้าของสาว ๆ เหล่านี้ ระยะยาวอาจทำให้อาการลุกลามเป็นมากขึ้น เรื้อรังและซ้ำร้ายอาจจะเกิดโรคที่เกี่ยวกับสุขภาพเท้าขึ้นมาได้ วิธีการปรับสภาพการทำงาน และการปฏิบัติตัวของผู้ยืนทำงานที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ 

               รู้แบบนี้แล้วก่อนอื่นเลย ก็ควรจะมารู้กันก่อนว่าผลเสียของการยืนนาน ๆ นั้นซึ่งมีหลายอาการไม่ว่าเป็น  ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อน่องและต้นขา อาการปวดเมื่อยเท้า หลอดเลือดขอด ปวดเข่าและหลัง คุณผู้หญิงก็สามารถป้องกันผลเสียจากการยืนนานได้ด้วยตนเอง มาดูว่ามีอะไรบ้าง

1. การยืนบนพื้นนิ่ม เพราะพื้นที่นิ่มสามารถลดแรงกดที่เท้าได้ อาจจะเป็นพรมเช็ดเท้านิ่ม ๆ เบาะหรือวัสดุที่มีความนุ่นก็ตาม ซึ่งสาวๆ สามารถทำได้ด้วยการถอดรองเท้ายืนบนพรมนั้น หลังจากนั้นลองยืนเท้าเดียว ถ้ารู้สึกว่าสบายเท้า และยืนได้มั่นคงถือว่าใช้ได้ 

2. สวมใส่รองเท้าที่มีพื้นนิ่มและหลวมเล็กน้อย รองเท้าที่มีพื้นนิ่มช่วยลดแรงกดไปที่เท้าได้ เช่นเดียวกับพื้นที่นิ่ม ส่วนการที่ต้องเลือกรองเท้าหลวมเพราะตกเย็นเท้าของท่านอาจบวมได้เล็กน้อยจากการยืนนาน

3. ไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงในการทำงาน กรณีที่เจ็บส้นเท้ามาก อาจใส่รองเท้าส้นสูงได้ แต่ไม่เกิน 2 นิ้ว เพื่อช่วยลดแรงกดที่ส้นเท้า แต่ข้อก็เห็นใจสาวๆ กันอยู่นะ 

4. ยืนเท้าโต๊ะสูงหรือตู้ขายสินค้า โดยใช้แขนหรือศอกรับน้ำหนักตัวทางด้านหน้า สลับกับการใช้ก้นหรือหลังพิงผนังเป็นครั้งคราว เพื่อลดน้ำหนักกดที่กระทำต่อหลังและเท้า

5. พักการยืนบ่อย ๆ หย่อนขาข้างหนึ่ง หรืออาจใช้ที่วางเท้าเป็นบล็อกสูงจากพื้นประมาณ 4-6 นิ้ว

6. ใช้เก้าอี้แบบกึ่งนั่งกึ่งยืน กรณีของพนักงานเคาน์เตอร์หรือการทำงานในโรงงาน

7. ยืนสลับนั่ง แต่ต้องจัดสภาพงานให้เหมาะสม เช่น โต๊ะยืนทำงานไม่ควรเตี้ยเกินไปจนต้องก้มหลัง อาจจัดโต๊ะให้ทำงาน 2 ชุด คือชุดยืนและนั่งทำงาน แล้วให้ทำงานสลับหน้าที่กันเป็นระยะ ๆ

8. เมื่อรู้สึกเมื่อย ให้เดินไปมาสัก 2-3 นาที จึงค่อยนั่งลง ยกขาทั้ง 2 ข้างพาดบนที่นั่งของเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง ให้เท้าอยู่สูงประมาณระดับเข่า เพื่อช่วยเลือดจากขากลับเข้าสู่หัวใจดีขึ้น ป้องกันหลอดเลือดขอด มีโอกาสพักอย่ายืนคุย ให้นั่งยกขาพาดเก้าอี้ อาจจะกระดกปลายเท้าสลับกันซ้าย-ขวาร่วมด้วย

9. กลับถึงบ้านให้นอนเอาเท้ายันกับกำแพงให้เท้าอยู่สูงจากพื้นประมาณครึ่งเมตร แล้วกระดกปลายเท้าขึ้นสลับกันทั้ง 2 ข้าง ทำประมาณ 10 นาที ออกกำลังด้วยการเดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ เป็นเวลา 15-20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงขา พักผ่อนด้วยการนอนให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง สำหรับการออกกำลังกายเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องยืนทำงานนาน ๆ



รองเท้าส้นสูง นับเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับสาวๆ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นแฟชั่นนิสต้า เพราะรองเท้าจะช่วยส่งให้พวกเธอดูดี มีบุคลิกที่สง่า น่ามอง และก่อให้เกิดความมั่นใจ บางคนชินกับการใส่รองเท้าส้นสูง จนใส่รองเท้าแบบส้นแบนๆ แล้วเดินไม่เป็นเลยก็มี และนี่คือจุดเริ่มต้นของสารพัดปัญหาเท้าที่คุณสาวๆ ต้องเผชิญ

ปัญหาสุขภาพเท้าจากการใส่รองเท้าส้นสูง


ผลต่อกล้ามเนื้อน่องเอ็นร้อยหวาย การอยู่ในท่าเขย่งนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อน่องเอ็นร้อยหวายตึงและหดสั้น สังเกตจากอาการปวดน่องบ่อยๆ จากการเดิน หรือการเป็นตะคริว

ผลต่อโครงสร้างเท้า เมื่อเอ็นร้อยหวายหดสั้น จะส่งผลให้เท้าแบนเมื่อยืนด้วยเท้าเปล่า ซึ่งทำให้เกิดปัญหาฝ่าเท้าช้ำได้ อาการดังกล่าวอาจปวดบริเวณอุ้งเท้า จนถึงส้นเท้าได้





พังฝืดใต้ฝ่าเท้าหดสั้น จากรายงานในต่างประเทศพบว่า จะส่งผลให้เท้าโก่งจากการดึงรั้งของพังผืดดังกล่าวได้ เพราะเท้าอยู่ในลักษณะเขย่งนานๆ





ผลต่อสรีระกระดูกสันหลัง ขณะที่ใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้น้ำหนักของเท้าเทไปส่วนหน้า เพื่อให้ร่างกายสามารถตั้งตรงและทรงตัวได้ ร่างกายจึงปรับให้หลังช่วงบั้นเอวแอ่นไปด้านหลัง จนนำมาสู่สาเหตุของท่านสุภาพสตรีที่มีอาการตึง และปวดหลังได้

การใช้อุปกรณ์ช่วยถนอมเท้า

อุปกรณ์เสริมฝ่าเท้า มีไว้เพื่อจัดโครงสร้างกระดูกทั้งหมด 26 ชิ้น ให้อยู่ในตำแหน่งธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อเอื้อต่อการทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายให้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างปกติ ปลอดภัย เป็นการป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อเอ็นต่างๆ กระดูกและข้อ ที่อาจนำไปสู่การเกิดปัญหาของเท้าได้






เลือกรองเท้าอย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพเท้า

1. รองเท้าที่ดี ส้นไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้ว ลักษณะส้นไม่ควรเป็นส้นเข็ม หรือเล็ก เพราะเมื่อฐานเล็ก ทำให้ไม่มั่นคง อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
2. รองเท้าควรยาวกว่าเท้าประมาณ 1 ซม.และส่วนหน้าไม่บีบนิ้วเท้าเกินไป เพราะขณะที่คนเราเดินเท้าจะมีการเคลื่อนไปด้านหน้าประมาณ 7 มม.ดังนั้นในรายที่ใส่รองเท้าที่พอดีเท้า ก็จะเกิดปัญหากับเล็บและนิ้วเท้าได้ เพราะทุกครั้งที่เดิน จะเกิดการกระแทก จนเป็นสาเหตุให้เล็บเสีย นิ้วเท้างุ้มงอ และเบียดกัน
3. พื้นด้านในรองเท้าควรจะนุ่มเพื่อเป็นการลดแรงกระแทก และควรเสริมอุปกรณ์พยุงฝ่าเท้าด้วย เพื่อลดการบาดเจ็บและสุขภาพที่ดีของเท้า
4. รองเท้าต้องกระชับ ไม่คับหรือหลวมเกินไป ถ้าให้ดีควรสามารถปรับได้

เมื่อมีอาการเจ็บหรือปวดควรรีบสำรวจหาสาเหตุ เพราะบางครั้งรองเท้าอาจจะหมดสภาพ หรือไม่เหมาะสมกับโครงสร้างเท้า แต่ถ้าปวดเมื่อยจากการเดินมากๆ อาจผ่อนคลายโดยการแช่น้ำอุ่น หรือน้ำเย็น ร่วมด้วยกับการบริหารกล้ามเนื้อขา และเท้าง่ายๆ โดยกระดกปลายเท้าขึ้นให้สุด จนรู้สึกตึงๆ ที่น่อง ค้างไว้ 10 วินาที ทำสัก 10 ครั้ง

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการดูแลเท้าเบื้องต้น ถ้ามีปัญหาหรือดูแลเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเท้า อย่าทิ้งไว้จนกลายเป็นเรื้อรัง เพราะปัญหาเล็กน้อยเหล่านี้จะทำให้บั่นทอนคุณภาพชีวิตในด้านอื่นๆ เนื่องจากเท้าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ร่างกายเราจำเป็นต้องใช้งานหนักในแต่ละวัน